สรุปสาระสำคัญ
โครงการ “การป้องกันปัญหาอาชญากรรมทางด้านเศรษฐกิจ: กรณีแชร์บ้านออมเงิน” จัดทำขึ้นภายใต้หลักสูตรการป้องกันอาชญากรรมกับการอำนวยความยุติธรรมในสังคม รุ่นที่ 4 โดยกลุ่มปาริชาติ มีเป้าหมายเพื่อวิเคราะห์และนำเสนอแนวทางในการป้องกันการกระทำผิดลักษณะดังกล่าวที่มีความรุนแรงและแพร่หลายมากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม และทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดรายได้จนตกเป็นเหยื่อของแชร์บ้านออมเงินที่อ้างผลตอบแทนสูงเกินจริง
รูปแบบของการหลอกลวงในแชร์บ้านออมเงิน มักจะใช้การโฆษณาผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, LINE หรือ Twitter ซึ่งมีประสิทธิภาพในการเข้าถึงประชาชนจำนวนมากอย่างรวดเร็ว โดยลักษณะการหลอกลวงประกอบด้วยการเสนอผลตอบแทนสูงในระยะเวลาอันสั้น การเชิญชวนให้ลงทุนอย่างไม่มีการชี้แจงความเสี่ยง การหว่านล้อมให้รีบตัดสินใจ และการอ้างอิงถึงบุคคลมีชื่อเสียงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
โครงการนี้ได้ใช้ทฤษฎีและแนวคิดจากอาชญาวิทยา เช่น ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล ทฤษฎียับยั้งป้องกัน ทฤษฎีปกติวิสัย และทฤษฎีการเสริมพลังชุมชน เพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้กระทำผิดและกลุ่มเหยื่อ โดยพบว่าผู้กระทำผิดมีแรงจูงใจจากผลประโยชน์สูง ขณะที่เหยื่อมักเป็นผู้มีรายได้น้อย ขาดความรู้ทางการเงิน หรือแม้แต่ผู้ที่รู้ว่าเป็นแชร์ลูกโซ่แต่เลือกลงทุนจากความโลภ
ในด้านกฎหมาย โครงการนี้ได้นำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพิจารณา ได้แก่ พ.ร.บ.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การเล่นแชร์ และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการกับผู้กระทำผิดทั้งทางแพ่งและอาญา
ในกรณีศึกษา “แชร์แม่มณี” ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียหายมากกว่า 2,500 ราย และมูลค่าความเสียหายกว่า 1,300 ล้านบาท ได้แสดงให้เห็นถึงขนาดของปัญหา และเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการศึกษานี้ขึ้น เพื่อเสนอแนวทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก
โครงการได้นำเสนอการวิเคราะห์ตามโมเดล CHEERS Checklist โดยระบุผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ฝากเงิน ครอบครัว หน่วยงานรัฐ และระบบเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเสนอความคาดหวังของประชาชนต่อการป้องกัน และการปฏิบัติของรัฐ โดยเน้นให้มีช่องทางระดมทุนที่ถูกกฎหมาย เข้าถึงง่าย และปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังเสนอให้มีการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนทุกกลุ่ม ผ่านสื่อโซเชียล ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข และโครงการ “แชร์ต้องรู้ ชัวร์ก่อนลงทุน” รวมถึงการอบรมเสริมสร้างความรู้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับการตรวจสอบอาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งยังถือเป็นจุดอ่อนในกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย
ผลลัพธ์จากการดำเนินงานของโครงการนี้ ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง มีการเผยแพร่ข้อมูลในพื้นที่ทั่วประเทศ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับประชาชนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น ประชาชนมีภูมิคุ้มกันในการตัดสินใจลงทุน และมีช่องทางร้องเรียนที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ
ในภาพรวม โครงการนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อจัดการกับผู้กระทำผิด แต่ยังส่งเสริมแนวทางการป้องกันเชิงรุก ผ่านการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน การเผยแพร่ความรู้ และการพัฒนาระบบแจ้งเบาะแสและร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ จึงถือเป็นโครงการต้นแบบในการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
กลุ่มเป้าหมายของโครงการ
ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลาง นักเรียน นักศึกษา ผู้มีรายได้น้อย ขาดความรู้ทางการเงิน และผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย
ความเกี่ยวโยงกับกระบวนการยุติธรรม
โครงการนี้เชื่อมโยงกับกระบวนการยุติธรรมโดยตรงผ่านการอบรมเชิงบูรณาการของเจ้าหน้าที่ภาครัฐในหลักสูตร Crime Prevention, การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ.ฉ้อโกงประชาชน, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ฟอกเงิน และการนำแนวคิดของตำรวจชุมชนมาใช้ในการสร้างความร่วมมือกับประชาชน
ผลลัพธ์ของโครงการ
1. ศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขเผยแพร่ข้อมูลการระวังภัยการลงทุนทั่วประเทศ
2. จำนวนคดีแชร์บ้านออมเงินที่เข้าสู่กระบวนการลดลง
3. ประชาชนมีความรู้และเข้าใจหลักการลงทุนอย่างถูกต้อง
4. เจ้าหน้าที่รัฐมีศักยภาพในการตรวจสอบคดีบนโลกออนไลน์ได้ดีขึ้น
5. เกิดการบูรณาการของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและชุมชน
การตอบเป้าหมายตามแผนพัฒนา
- การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเท่าเทียม - โครงการเน้นให้ประชาชนรู้เท่าทันการฉ้อโกงและมีช่องทางร้องเรียน การให้ข้อมูลผ่านศูนย์ยุติธรรมสร้างสุขในทุกจังหวัด ทำให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
- การยกระดับกลไกการทํางานเชิงเครือข่าย - เน้นความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชน และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันอาชญากรรม รวมถึงการบูรณาการการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรม
- การสร้างวัฒนธรรมเคารพกฎหมาย - โครงการมุ่งส่งเสริมการรู้เท่าทันกฎหมาย การตระหนักถึงความเสี่ยงในการลงทุน และสร้างแนวคิดให้ประชาชนรู้จักใช้วิจารณญาณทางกฎหมาย
- การบังคับใช้กฎหมายตามเจตนารมณ์ - มีการวิเคราะห์กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ เช่น พ.ร.บ.ฉ้อโกง, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, พ.ร.บ.ฟอกเงิน และย้ำถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งอาชญากรรม